วันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ประวัติมัสยิดกรือเซะ

                มัสยิดกรือเซะตั้งอยู่หมู่ที่ บ้านกรือเซะ  ตำบลตันหยงลุโละ  อำเภอเมือง  จังหวัดปัตตานี  ห่างจากตัวเมืองปัตตานีปัจจุบันไปทางทิศตะวันออกประมาณ  กิโลเมตร 



   มัสยิดกรือเซะเป็นมัสยิดหลังแรกของปัตตานีและของเอเชียอาคเนย์  ที่ก่อสร้างตามแบบสถาปัตยกรรมตะวันออกกลางตะวันออกกลาง  มัสยิดกรือเซะมีชื่อเรียกสมัยนั้นว่า  มัสยิดปินตูเกริบัง  เป็นมัสยิดประจำเมืองปัตตานี  ตั้งอยู่บริเวณหน้าพระลานใกล้กับประตูพระราชวังด้านทิศตะวันตก


 มัสยิดกรือเซะเริ่มก่อสร้างเมื่อ  พ.ศ. 2057  ในสมัยพญาอินทิรา (สุลต่านอิสมาอีล  ชาล์)  เป็นเจ้าเมืองปัตตานี (พ.ศ. 2043-2073)  แต่มาแล้วเสร็จสมบรูณ์ในสมัยสุลต่านมูซัฟฟัร ชาร์ (พ.ศ. 2073-2107)
หลังจากนั้นได้มีการบรูณะหลายครั้ง  ได้แก่ในสมัย  ราชินีฮีเยา(พ.ศ. 2127-2159) ได้ทรงให้ช่างชาวจีน คือ ลิ้มเต้าเคียน ทำการบรูณะให้ใหญ่โต หรูหรากว่าเดิมโดยมีการประดับประดา ภายในอย่างในสวยงาม ดังที่ปรากฏในบันทึกของพ่อค้าชาวตะวันตกที่เข้ามาค้าขายในสมัยนั้น 



 เมืองปัตตานีระหว่างพ.ศ. 2146-2221  ตกอยู่ในภาวะศึกสงครามหลายครั้ง  ในสมัยสุลต่านอาลงยุนุส(พ.ศ.2269-2272)  ได้มีการบูรณะซ่อมแซมมัสยิดอีกครั้งหนึ่ง  แต่ยังไม่ทันแล้วเสร็จก็เกิดเหตุการณ์นองเลือดในพระราชวังปัตตานี  สุลต่านอาลงยุนุสถูกปลงพระชนม์  ทำให้เมืองปัตตานีว่างเว้นการปกครองนานถึง 47 ปี
จนกระทั่งในสมัยสุลต่าน  มูฮัมหมัด (พ.ศ.2319-2329) หลังจากอยุธยาตกเป็นเมืองขึ้นของพม่าครั้งที่ 2  ตั้งแต่ พ.ศ.2310 เป็นต้นมา  และเมื่อได้รับอิสรภาพกลับคืนมาแล้ว  กองทัพสยามได้นำกำลังเข้าปราบปรามเมืองต่างๆ รวมทั้งปัตตานี  ซึ่งได้ประกาศเป็นอิสระไม่ขึ้นกับอยุธยา  เมืองปัตตานีถูกกองทัพสยามบุกเข้าโจมตีเมื่อ พ.ศ.2329 มีการกวาดต้อนผู้คนไปยังกรุงเทพมหานคร  รวมทั้งขนย้ายปืนใหญ่พญาตานีและทรัพย์สินอื่นๆไปด้วย  สงครามครั้งนั้นเมืองปัตตานีได้รับความเสียหายเป็นอันมาก 

ในสมัยต่วนสุหลง (พ.ศ.2359-2375) เป็นเจ้าเมืองปัตตานี  ได้มีความพยายามในการบูรณะมัสยิดให้มีความสมบรูณ์เช่นเดิม  แต่เกิดความขัดแย้งในเมืองปัตตานีและเกิดสงครามกับสยาม  กับหัวเมืองอื่นๆรวมทั้งปัตตานี  ทำให้ต่วนสุหลงต้องอพยพครอบบครัวหนีภัยไปอยู่กลันตัน 
เจ้าเมืองคนต่อมาคือ นิยุโซฟ (พ.ศ.2375-2388) ไม่ได้บูรณะเมืองปัตตานี  เนื่องจากเห็นว่าสภาพของบ้านเมืองไม่อยู่ในฐานะที่จะเจริญรุ่งเรืองต่อไปเช่นในอดีต  จึงได้สร้างเมืองแห่งใหม่ที่หัวตลาด(ในตัวเมือง  ปัตตานีปัจจุบัน)


มัสยิดกรือเซะจึงถูกทิ้งร้างตั้งแต่ พ.ศ. 2375 เป็นต้นมา  จนมีสภาพทรุดโทรม ต้นไม้ขึ้นปกคลุม  กลมศิลปากรได้เข้ามาสำรวจและลงทะเบียนเป็นโบราณสถานเมื่อ วันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2478  หลังจากนั้นในปี พ.ศ.2500 ได้มีการซ่อมแซมส่วนผนังและรื้อต้นไม้ออก  ต่อมาในวาระเฉลิมฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ครบ 200 ปี เมื่อ พ.ศ.2525 กรมศิลปากรได้บูรณะมัสยิดเพื่อให้คงสภาพเป็นโบราณสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของเมืองปัตตานีสืบต่อไป



จนกระทั่งเหตุการณ์ความไม่สงบเมื่อวันที่28 เมษายน พ.ศ.2547 มัสยิดกรือเซะได้รับความเสียหายจากการปราบปรามผู้ก่อความไม่สงบ  รัฐบาลจึงได้มอบหมายให้กรมศิลปากรทำการบูรณะอีกครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่ กรกฎาคม พ.ศ.2547แล้วเสร็จเมื่อวันที่ 31 มกราคม พ.ศ.2548 โดยคงรักษาสภาพเดิมของโบราณสถาน  ปรับปรุงตกแต่งภายในในอาคารให้สวยงามและสามารถใช้ปฏิบัติศาสนกิจได้  รวมทั้งปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณโดยรอบมัสยิดให้มีความสวยงาม  โดยมอบให้ชุมชนเป็นผู้บริหารจัดการ  และให้มัสยิดกรือเซะเป็นศาสนสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของเมืองปัตตานีสืบต่อไป



ในระยะเวลาที่ผ่านมา  แม้ว่ามัสยิดกรือเซะได้รับการบูรณะจากหน่วยงานของรัฐหลายครั้ง  แต่ก็ยังไม่เคยมีการเผยแพร่ประวัติของมัสยิดแห่งนี้  ซึ่งแตกต่างจากการบูรณะโบราณสถานทั่วไปที่ได้รับการศึกษาประวัติความเป็นมาควบคู่กับการบูรณะพัฒนาให้เป็นแหล่งศึกาเรียนรู้ของประชาชน  มัสยิดกรือเซะแห่งนี้จึงดูเหมือนไร้ความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ ทั้งๆที่ได้ทำหน้าที่เป็นมัสยิดประจำเมืองปัตตานียาวนาน 318 ปี ปัตตานีในขณะนั้นมีความเจริญสูงสุด จนได้รับการกล่าวถึงว่า  เป็นเมืองหลวงและมหานครของภูมิภาคนี้  มัสยิดกรือเซะในวันนี้  จึงเป็นมรดกอารยธรรมแห่งมหานครปัตตานี  ที่ควรได้รับการยกย่องเชิดชูให้เป็นโบราณสถานที่สำคัญของประเทศและภูมิภาคเอเชียอาคเนย์สืบต่อไป



ที่มา : http://oknation.nationtv.tv/blog/Boonyoon/2009/07/01/entry-1
ขอบคุณรูปภาพจาก อัด Teaoor         

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น